หน้าแรก » ข่าวสาร » อยากเข้ามหาวิทยาลัย TOP 10 ของจีน ต้องทำยังไงบ้าง?

อยากเข้ามหาวิทยาลัย TOP 10 ของจีน ต้องทำยังไงบ้าง?

แชร์หน้านี้ Line

สำหรับน้อง ๆ ที่กำลังคิดจะเรียนต่อที่จีน โดยเฉพาะในมหาวิทยาลัยชั้นนำระดับ TOP 10 ของประเทศ อาจจะรู้สึกว่าเป็นเป้าหมายที่ต้องแข่งขันสูง พี่ CASC อยากบอกว่า หากเตรียมตัวอย่างถูกวิธีและเข้าใจระบบการสมัครจริง ๆ โอกาสก็ไม่ได้ไกลเกินเอื้อมเลยค่ะ เป็นที่รู้กันว่า จีนเป็นประเทศที่มีการลงทุนด้านการศึกษามากที่สุดประเทศหนึ่งในโลก มหาวิทยาลัยหลายแห่งติดอันดับ TOP 100 ของโลก และมีชื่อเสียงในด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี การแพทย์ รวมถึงด้านบริหารธุรกิจและนานาชาติ เพราะฉะนั้น ถ้าเราวางเป้าหมายไว้ที่ TOP 10 ของจีน ไม่เพียงแต่จะได้คุณภาพการศึกษาที่สูงมาก แต่ยังเป็นใบเบิกทางที่ดีต่ออนาคตการทำงานอีกด้วย วันนี้พี่เลยอยากแนะนำสำหรับน้องๆ ที่กำลังอยากเข้ามหาวิทยาลัยชั้นนำของจีน ว่าควรต้องเตรียมตัวยังไงบ้าง เราไปดูกันเลยค่ะ ^-^

1. ศึกษาและเลือกมหาวิทยาลัยที่เหมาะสม

การเลือกมหาวิทยาลัยและสาขาที่ตรงกับความสนใจ จะทำให้การเตรียมตัวมีทิศทางมากยิ่งขึ้น

มหาวิทยาลัย TOP 10 ของจีน (Shanghai Ranking,2025) แต่ละแห่งมีจุดเด่นที่แตกต่างกัน เช่น

อันดับที่ 1 Tsinghua University (มหาวิทยาลัยชิงหัว) ตั้งอยู่ที่ปักกิ่ง ถือเป็นสถาบันที่แข็งแกร่งที่สุดในจีนตอนนี้ โดยเฉพาะด้านวิศวกรรม วิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ และเทคโนโลยีระดับโลก

อันดับที่ 2 Peking University (มหาวิทยาลัยปักกิ่ง) ซึ่งอยู่ในปักกิ่งเช่นกัน โดดเด่นด้านสังคมศาสตร์ มนุษยศาสตร์ และกฎหมาย รวมถึงวิทยาศาสตร์พื้นฐานที่มีผลงานวิจัยระดับนานาชาติ

อันดับที่ 3 Zhejiang University (มหาวิทยาลัยเจ้อเจียง) เมืองหางโจว จุดเด่นคือการวิจัยด้านวิศวกรรม การแพทย์ และการเกษตร ถือว่าเป็นมหาวิทยาลัยวิจัยที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของจีน

อันดับที่ 4 Shanghai Jiao Tong University (มหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้เจียวทง) โด่งดังมากในสายวิศวกรรม สาขาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์ และการจัดการธุรกิจ รวมถึงสาขาการแพทย์ นวัตกรรม AI และวิศวกรรมชีวการแพทย์

อันดับที่ 5 Fudan University (มหาวิทยาลัยฟู่ตั้น) ตั้งอยู่ในเซี่ยงไฮ้ เป็นมหาวิทยาลัยที่ขึ้นชื่อด้านการแพทย์ มนุษยศาสตร์ และบริหารธุรกิจ โดยมีเครือข่ายนักศึกษาต่างชาติขนาดใหญ่

อันดับที่ 6 Nanjing University (มหาวิทยาลัยหนานจิง) มีชื่อเสียงยาวนานทางด้านวิทยาศาสตร์ธรรมชาติ โดยเฉพาะฟิสิกส์และเคมี รวมถึงงานวิจัยเชิงทฤษฎีที่แข็งแกร่ง

อันดับที่ 7 University of Science and Technology of China (USTC) ที่เมืองเหอเฟย มหาวิทยาลัยแห่งนี้เน้นหนักด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ได้รับการยอมรับว่าเป็นศูนย์กลางวิจัยฟิสิกส์ระดับโลกของจีน

อันดับที่ 8 Wuhan University (มหาวิทยาลัยหวู่ฮั่น) ซึ่งมีความโดดเด่นทั้งด้านวิศวกรรม คอมพิวเตอร์ และยังมีคณะนิติศาสตร์ที่แข็งแกร่งในระดับประเทศ

อันดับที่ 9 Huazhong University of Science and Technology (มหาวิทยาลัยหัวจง) เมืองหวู่ฮั่นเช่นกัน แข็งแกร่งด้านวิศวกรรม เครื่องกล และการแพทย์

และอันดับที่ 10 Xi’an Jiaotong University (มหาวิทยาลัยเจียวทง ซีอาน) เมืองซีอาน เป็นมหาวิทยาลัยเก่าแก่ด้านวิศวกรรม ไฟฟ้า เครื่องกล และยังเป็นฐานการวิจัยสำคัญทางตะวันตกของจีน

2. เตรียมผลการเรียน และคุณสมบัติทางวิชาการ

มหาวิทยาลัยชั้นนำของจีนจะให้ความสำคัญกับผลการเรียนอย่างมาก โดยทั่วไปควรมีเกรดเฉลี่ย ไม่น้อยกว่า 3.0–3.5 ขึ้นไป หรือถ้าเกรดสูงกว่า 3.6–3.8 จะทำให้มีโอกาสมากขึ้น หากสมัครระดับบัณฑิตศึกษา อาจจำเป็นต้องมีผลงานวิชาการหรือประสบการณ์การทำวิจัยประกอบด้วย

3. ภาษาจีน หรืออังกฤษต้องพร้อม

ถ้าสมัครหลักสูตรภาษาจีน ต้องมีผลสอบ HSK อย่างน้อยระดับ 4–5 (บางมหาวิทยาลัย เช่น Peking หรือ Tsinghua อาจต้องการ HSK 6) ถ้าสมัครหลักสูตรอินเตอร์ (สอนเป็นภาษาอังกฤษ) ต้องมีผลสอบภาษาอังกฤษ เช่น IELTS 6.0 ขึ้นไป หรือ TOEFL 80 ขึ้นไป ตามที่มหาวิทยาลัยกำหนด ถ้าน้องสามารถสื่อสารได้ทั้งสองภาษา จะเป็นจุดแข็งอย่างมาก เพราะมหาวิทยาลัยเห็นว่าเราปรับตัวได้ดี

4. เอกสารและการเขียน Personal Statement

ใบสมัครของมหาวิทยาลัยจีน โดยเฉพาะ TOP 10 จะไม่ใช่แค่กรอกประวัติ แต่ต้องเขียน Personal Statement หรือ Study Plan ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในการคัดเลือก การเขียนต้องสุภาพ กระชับ และแสดงความมุ่งมั่นจริงใจ ต้องเล่าให้เห็นว่า ทำไมถึงอยากเรียนที่จีน หรือสาขานั้น ๆ แสดงความเชื่อมโยงกับประสบการณ์ที่ผ่านมา และชี้ให้เห็นว่าอนาคตจะใช้ความรู้นี้อย่างไร

5. เตรียมสอบหรือสัมภาษณ์ (ถ้ามี)

บางมหาวิทยาลัย เช่น Tsinghua หรือ Fudan อาจมีการสัมภาษณ์ออนไลน์เพื่อประเมินทัศนคติและความสามารถในการสื่อสาร ดังนั้นควรเตรียมคำตอบเกี่ยวกับแรงบันดาลใจ ความสนใจในวิชาการ และแผนการเรียนต่อ

6. การสมัครทุนการศึกษา

การสมัคร TOP 10 ของจีนควบคู่กับทุน เช่น Chinese Government Scholarship (CSC), ทุนจากมหาวิทยาลัยเอง หรือทุนโครงการความร่วมมือ จะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายและยังเป็นการยืนยันคุณภาพของผู้สมัคร เพราะทุนเหล่านี้คัดเลือกอย่างเข้มข้น การเตรียมเอกสารให้ครบและส่งภายในกำหนดจึงสำคัญมาก

7. การวางแผนเวลาและการจัดการตาราง

การสมัครเรียนต่อจีนมักเปิดราว พฤศจิกายน – มิถุนายน ของแต่ละปี ดังนั้นน้องควรวางแผนล่วงหน้าอย่างน้อย 1 ปี เช่น ปีนี้เตรียมสอบภาษา ปีหน้าใช้ผลสอบสมัคร พร้อมทั้งจัดเตรียมเอกสารที่ใช้เวลา เช่น Transcript, Recommendation Letter, ผลสอบภาษา เป้นต้น

การเข้าเรียนต่อมหาวิทยาลัย TOP 10 ของจีน จำเป็นต้องวางแผนและลงมือทำอย่างต่อเนื่องนะคะ พี่อยากฝากให้น้อง ๆ คิดว่า การเตรียมตัวไม่ได้หมายถึงแค่ผลการเรียน แต่รวมถึงการสื่อสาร ความมุ่งมั่น และการแสดงออกว่าเราเหมาะสมกับสาขานั้นจริง ๆ ถ้าน้องมีเป้าหมายชัดเจน รู้จักวางแผนโอกาสที่จะได้เป็นนักศึกษาของมหาวิทยาลัย TOP 10 ของจีนก็ยิ่งมากขึ้นด้วยค่ะ สำหรับน้องๆที่สนใจเรียนต่อในมหาวิทยาลัยชั้นนำของจีน หรือต้องการข้อมูลและปรึกษาด้านการเรียนต่อเพิ่มเติม สามารถติดต่อพี่ CASC ได้เลยนะคะ



ช่องทางการติดต่อ

โทรศัพท์ : 02-113-1119

Line Official : @casc

Facebook : เรียนต่อจีน และไต้หวันกับ CASC

Tiktok : casc_th

Instagram : casc_abroad

Twitter : casc_abroad

website : www.casc.in.th , www.123tochina.com